จิตมหัศจรรย์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันพระ อภัยทาน พระเราถ้าไม่มีการปลงอาบัติมันก็มีความผิดพลาด เห็นไหม พระเราเวลาผิดไปแล้วให้ปลงอาบัติเพื่อกลับตัวใหม่ กลับตัวใหม่ ปลงอาบัติไง ความผิดพลาดนี้มีกันทุกๆ คน เพราะมันเทียบเข้ามาที่กิเลสของใจ กิเลสของคนเรานี่มันขึ้นๆ ลงๆ มันคุมไม่ได้หรอก พอมันคุมไม่ได้ ถ้ามันอย่างนั้นปั๊บมันก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้ามันจะผิดพลาดนี่ เขาเรียกว่า ศรัทธา อจลศรัทธา
อจลศรัทธามันถึงจะเป็นศรัทธาแท้ไง ถ้าศรัทธาเฉยๆ นี่มันยังคลอนแคลนไปเรื่อย เดี๋ยวศรัทธาอย่างนั้น เดี๋ยวศรัทธาอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นอจลศรัทธา ทีนี้อจลศรัทธาก็เรื่องของศาสนา ถ้าเรื่องของศาสนานะ อย่างที่ว่านี่ล่ะ เห็นแต่รูปแบบอย่างนั้นมันมีพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ความศรัทธา ๔ อย่างไง ศรัทธาในเสียง ศรัทธาในความเศร้าหมอง ศรัทธาในรูปแบบ เห็นไหม ศรัทธานี่ ความศรัทธาอย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าบอกไว้หมดแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ
อย่างเช่นผ้านี่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้เลยนะ ถ้าปะ พระกัสสปะปะผ้าถึง ๗ ชั้น แต่พระกัสสปะถือธุดงควัตร ใช้เก็บผ้าธุดงค์แล้วใช้ปะเอาจน ๗ ชั้น จนพระพุทธเจ้าขอเปลี่ยนนะ แต่พระเราสมัยนี้ไม่อย่างนั้นนี่ เก็บเอาไว้ ผ้าเศร้าหมองเก็บไว้ เอาไว้เวลาออกไปสังคม เวลาอยู่ในวัดก็ใส่อีกผืนหนึ่ง เห็นไหม นี่เพราะอะไร เพราะเขาเห็นว่า โอ๋ย! พระองค์นี้มักน้อย พระองค์นี้...เพราะเรียกร้องความศรัทธา อันนี้มันเป็นเปลือกๆ ทั้งนั้นเลย
จิตนี้มหัศจรรย์มากนะ จิตของเรานี้มหัศจรรย์มาก ศาสนาพุทธ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ก็ไปศึกษากับลัทธิต่างๆ ลัทธิต่างๆ ก็สอนไปต่างๆ กัน สอนแต่เปลือกๆ ไง เพราะคนไม่เข้าใจตรงนี้ไง แต่พอเราเข้าใจมาแล้วนี่ เราเห็นนะ เวลาโลกเขาทำกัน เราไม่ค่อยเห็นด้วยหรอก อย่างเช่นผ้าป่าต่างๆ ผ้าป่าทั่วๆ ไปมันทำผ้าป่าทำให้ศาสนาเสื่อมลงๆ ไง ผ้าป่าเพื่อนั้น ผ้าป่าเพื่อนี้ อ้างศาสนา อิงศาสนาเฉยๆ แต่ไม่ใช่ตัวศาสนา
ผ้าป่าจริงๆ นี่คือว่า แขวนไว้ไม่มีเจ้าของ แต่เดิมมันเป็นผ้าในป่าแขวนไว้แล้วเราชักบังสุกุล นี่เป็นผ้าป่า แต่ประเพณีมันทำกันตามไปเรื่อยๆ ไง ทำตามกันไปเรื่อยๆ การช่วยเหลือกัน ถ้าไม่อ้างอิงศาสนานี่ไม่ได้ ใครจะมาเผยแผ่ในศาสนาในเมืองไทยก็เหมือนกัน ไม่ใช่พุทธก็อ้างว่าพุทธไว้ก่อน อิงพุทธไว้ก่อน เอาพุทธมาตั้งไว้แล้วอ้างว่าพุทธ
ถ้าพุทธจริงๆ มันต้องสอนเข้าถึงการสละออกสิ ไอ้นี่สละออก สละทุกอย่างนะ ไอ้นี่มันสละออกแต่ข้างนอก แต่มันไปวกเอาข้างหลังไง วกเอาข้างหลัง สละแต่น้อยแล้วจะเอาข้างหน้า ที่ว่าเข้าไปนี่ พอไปติดเข้าไปถึงพระแล้ว พระทุกองค์เป็นอย่างนั้นหมด นี่เพราะว่าพระทุกองค์เป็นอย่างนั้นหมดปั๊บ ถึงว่า พระนี้เชื่อถือไม่ได้ พอพระเชื่อถือไม่ได้ก็ต้องสังคมช่วยเหลือกันเอง ถึงว่า การทำช่วยเหลือกันเอง เขาจัดระเบียบจัดระบบขึ้นมา แล้วก็ต้องมีงบบริหารเหมือนกัน แต่เขาไม่พูดตรงนั้นนี่นะ
แต่พระเรานี่อาศัยความศรัทธานะ พระนี่ไม่มีงบบริหารนะ ทุกอย่างต้องหากันขึ้นมาเอง ต้องทำกันไปเอง พระเรานี่ ทีนี้พอพระทำตัวแล้วเห็นอย่างนั้น เพราะพระนี่ยืนอยู่บนโต๊ะนี่ พระนี้อยู่บนโต๊ะใช่ไหม บนที่สว่าง ใครๆ ก็เห็นได้ง่าย สังคมจับตามอง พอสังคมจับตามอง ความผิดพลาดไป
ว่าถ้าผ้าป่าอย่างอื่น อย่างอื่นเราไม่เห็นน่ะ ทำไมเราเห็นด้วยกับอาจารย์มหาบัวทอดผ้าป่าช่วยชาติล่ะ เป็นพันๆ ล้านทำไมเราเห็นด้วย
เพราะว่า ไม่มีวกกลับไปเอาอันหลัง เห็นไหม ท่านพูดประกาศอยู่ตลอดเวลา คนมองอันนี้มองไม่ออก บอกว่า ท่านสิ้นแล้ว ท่านไม่หวังอะไรทั้งสิ้น ทำนี้เพื่อโลกทั้งหมด ทำเพื่อโลกทั้งหมด เห็นไหม เพราะทำแล้วก็แล้วกันไปไง นี่คือว่าทำดีเพื่อดี ทำดีไม่ได้หวังดี ทำดีแล้วก็ดี แล้วก็จบกัน ไม่ใช่ว่าทำดีแล้วดี
แต่โลกก็ไปให้ค่าอีก เห็นไหม จากชั้นราชพาสขึ้นไปชั้นธรรมเลย แต่นั่นโลกเขาให้กัน พาสขึ้นไปนั้นเป็นความดีของท่าน นี่ผลตอบสนองมา นี่คนที่เขาทำกันเขาหวังตรงนี้นี่ แต่นี่ไม่ได้หวัง เขายัดเยียดให้ แล้วไม่ต้องการด้วย
ความไม่ต้องการ นี่เวลายืนบนโต๊ะ มองกันแล้วก็มองพระเท่าๆ กัน นี่ศาสนาไง
ความมหัศจรรย์ของจิต จิตนี้มหัศจรรย์มากนะ ถ้าศาสนานี้พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ สอนกันไปผิดๆ นะ ลัทธิต่างๆ สอนว่า ให้อยู่กัน ๕๐๐ ชาติ เกิดมาแล้วให้เสวยสุขไป ๕๐๐ ชาติ แล้วพอครบ ๕๐๐ ชาติแล้วจะสิ้นไป บางทีว่าตายแล้วสูญไป ไม่มี เห็นไหม แต่ไอ้ตัวจิตนี้มันตัวตายตัวเกิด ไอ้ตัวพาตัวตายตัวเกิดในจิตนั้นตัวสำคัญมาก ไอ้ตัวไปติดข้อง ตัวข้องเกี่ยว ตัวข้องเกี่ยวก็นี่ข้องเกี่ยวในอะไรล่ะ? ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ นี่ข้องเกี่ยวตรงนี้ นี่มันยังข้องเกี่ยวอยู่ ถ้ายังข้องเกี่ยวอยู่ พระพุทธเจ้าสอนให้ละตรงนี้นี่ ทำไมพระไม่ละตรงนี้ พระไปละกันเปลือกๆ แล้วก็เห็นกันว่า โอ๋ย! คนนั้นเขาทำดีๆ เห็นแต่เปลือกๆ เห็นปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยไง
เครื่องอยู่อาศัย วิหาร ศาสนวัตถุ วัตถุนี่เป็นเครื่องอยู่อาศัย ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย วิหารนี่ วิหารคดนี่ โบสถ์นี่เป็นเครื่องอยู่อาศัย สมัยพุทธกาลน่ะ คูหาสีมาก็มีนี่ ไม่จำเป็นต้องสร้างขนาดนั้น ทำไมพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวนี้วิจิตรพิสดารขนาดไหน แล้วทำไมคนไปติดตรงนั้นหมดล่ะ เพราะใจไปเกาะ เห็นไหม พระพุทธเจ้าให้สละเปลือกมาก่อน สละตรงนั้นเข้ามาก่อนแล้วก็มาสละที่ใจอีกชั้นหนึ่ง ไอ้นี่สละกันได้ที่เปลือก ทำที่เปลือกให้เห็นอยู่
นี่ความมหัศจรรย์ของจิต ความข้องเกี่ยวนี่เป็นนิวรณธรรมให้เกิดทำสมาธิได้ยากแล้ว การที่ว่าไปคลุกคลีอยู่ในปัจจัย ๔ การคลุกคลี การบริหารอยู่นั่นน่ะ นั่นน่ะคือเครื่องข้องทั้งหมดเลย แต่พอเครื่องข้องหมด ถ้าใครทำแล้วมันเห็นว่าเป็นวัตถุ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรมที่ว่าคนนี้มีผลงาน นี่ไปบริหารตรงนั้นซะ แต่ไอ้ความติดข้องของใจระหว่างขันธ์ ๕ กับจิตนี่มองไม่เห็น ระหว่างขันธ์ ๕ กับจิต ระหว่างกิเลสกับจิตนี่มองไม่เห็น แต่ไปเห็นแต่วัตถุกัน
วัตถุนั้นเป็นผลบวก บวกว่าผู้นี้เป็นคนทำได้ แต่มันก็เป็นการส่งเสริมศาสนาทางหนึ่ง ทางที่ว่าศาสนานี้เป็นศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของเก่าของแก่ อันนี้ก็เห็นว่าเป็นส่วนหนึ่ง แต่มันหยาบไง ถึงว่า ความมหัศจรรย์ของจิต ถ้าใครเห็นเรื่องของจิตนี่จะเห็นโทษของตรงนี้ ถ้าคนยังไม่เห็นเรื่องของจิตจะไม่เห็นโทษของตรงนี้เลย เห็นว่าตรงนี้เป็นการส่งเสริมศาสนาทางหนึ่ง อันนี้เขาเข้าไม่ถึงหลักของผู้ที่วิปัสสนา
พระป่าส่วนใหญ่ถึงไม่ก่อสร้าง แต่สุดท้ายภายหลังนี่ รุ่นลูกรุ่นหลานมานี่ เพราะว่าการวิปัสสนาเข้าไปมันเป็นงานการชำระ...หลวงปู่ตื้อนี่นั่ง ๗ วัน ๗ คืน คนอดอาหารเป็นปีๆ นั่งจนแบบว่าก้นพองก้นแตก มันอยู่กันได้อย่างไร งานอย่างนั้นต่างหากเป็นงานที่ว่าบังคับตนเอง มันสำคัญยิ่งกว่างานข้างนอกนี้อีก เพราะมีงานตรงนั้นแล้วนี่เวลาไม่มี มันจะไม่มีเวลาออกมายุ่งกับเรื่องภายนอกเลย แล้วจะมาบริหารข้างนอกนี่เป็นไปไม่ได้ บริหารใจของตัว เรื่องของตัวนี่เวลายังหาไม่ได้ ถึงว่า ต้องอยู่วิเวกคนเดียว นี่งานอันนั้นงานสำคัญในศาสนา พระป่าเขาเน้นกันตรงนั้น
แต่พอทำไปแล้วมันทำกันไม่ค่อยถึง ทำถึงจุดนั้นไม่ได้ไง พอทำถึงจุดนั้นไม่ได้มันก็ทำให้มีความ...นี่นิวรณธรรมหนึ่ง ไม่มีเครื่องอยู่อาศัยหนึ่ง ใจว้าเหว่หนึ่ง เห็นไหม พอผ่านตรงนี้เข้าไปแล้ว ผ่านความคิด ผ่านความฟุ้งซ่านเข้าไปแล้วมันจะทำให้ใจสงบ ใจสงบแล้วมันถึงเข้าไปวิปัสสนา เห็นไหม ยกขึ้น เหตุผลที่ทำไมมันไปเกาะเกี่ยว นั่นน่ะ มันละได้ตรงนั้นไง เหตุผล ทำไมเราอยู่คนเดียวไม่ได้ ทำไมเราต้องไปยุ่งกับเรื่องภายนอก ทำไมเราต้องไปเกาะเกี่ยวตรงนั้น นี่ถึงบอก มันเริ่มเห็นผลไง
ความสงบเข้าไปมันสงบเพราะความกดดัน พยายามทำใจให้สงบเข้าไป พอใจสงบเข้าไปแล้วถึงจะยกขึ้น หมายถึงว่า ไปเห็นเหตุไง เห็นเหตุที่ว่าทำไมใจมันเหมือนกับช้างสารที่ตกมัน ที่ว่าช้างสารที่ตกมันมันบังคับตัวเองไม่ได้ เจริญขึ้นแล้วฟูลง เจริญขึ้นแล้วฟูลง เดี๋ยวศรัทธา เดี๋ยวไม่ศรัทธา เดี๋ยวคลอนแคลน ศรัทธาขนาดไหนมันก็มีความลังเลสงสัย อยู่ในหัวใจนั้นน่ะ ในความลังเลสงสัย ถ้าเราไปแก้ไขตรงนั้นปั๊บ เราเห็นความหลุดออกไป เห็นไหม สมุจเฉทปหานของใจ ใจนี้สมุจเฉทปหาน ขาดออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ
แม้แต่ขันธ์กับจิตนี้ขาดออกจากกัน แยกออกจากกัน มันก็ยังไม่สมุจเฉทปหาน เพราะมันแยกชั่วคราว มันแยกชั่วคราวจนมันปล่อย เห็นไหม ปล่อยสังโยชน์ขาดออกไป ความที่ขาดออกไป อ๋อ! ไอ้ยางเหนียวอันนี้เอง เกาะเกี่ยวอารมณ์กับความคิด ถึงว่าเราแยกตรงนี้ไม่ออก นี้แยกออกจากกัน พอแยกออกจากกันเป็นชั้นๆๆ เข้าไป มันถึงว่าเห็นโทษของจิตที่ไปเกาะเกี่ยวนั่นไง ไอ้เรื่องนี้เรื่องที่ว่าปัจจัย ๔ ข้างนอกนี่มันถึงไม่ค่อยมีค่าเลยนะ
ปัจจัย ๔ ข้างนอกเป็นเครื่องอยู่อาศัย เครื่องอยู่อาศัยจริงๆ เราทำได้หรือคนอื่นทำแทนเราก็ได้ แต่เรื่องของใจนี้ไม่มีใครทำแทนใครได้เลย เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่มีใครทำแทนได้หนึ่ง ต้องบุคคลนั้นทำด้วยตัวเอง ทำแล้วจะทำเข้าทางหรือไม่เข้าทางนะ
เข้าทางก็เข้าถูกทาง ถ้าเข้าไม่ถูกทาง เห็นไหม ทำขนาดไหน นี่ทำแทนกันไม่ได้ ต้องทำด้วยตัวเอง ทำด้วยตัวเองก็ยังทำไม่ถูกทาง พอเข้าไม่ถูกทาง ถ้าจะให้เสียเวลาเปล่า ไม่ถึงกับเสียเวลาเปล่า มันเป็นการสะสมบารมีไป การสะสมบารมีไปคือประสบการณ์ตรงของจิต จิตนี้ประสบการณ์ตรงไง
การทำผิด การทำผิดพลาด ทำถูกต้องหรือความสงบลงไปมันก็ซับมาที่ใจ ซับมาที่ใจมันจะเป็นผลบุญกุศลนะ นี่เป็นประสบการณ์ทางจิต มันให้ไง ถ้าจิตนี้ยังไม่ได้ชำระสิ่งใดออกไป ความผูกมัดอันนั้นน่ะ จิตนั้นเคยสงบเข้าไปมันก็ผูกมัดความอยากได้ เห็นไหม มันกลับมาเป็นโทษอีกชั้นหนึ่ง
ถ้าธรรมมันเกิดในใจ ถ้าธรรมมันเกิดจริง ธรรมนี้เกิดจริงโดยสมุจเฉทปหาน อันนั้นเป็นธรรมแท้ ธรรมแท้อันนี้จะไม่ให้โทษ แต่ธรรมประสบการณ์ตรงที่ยังเข้าไม่ถึง พอประสบการณ์เข้าไม่ถึงแล้วล้มลุกคลุกคลาน นี่พระรุ่นลูกรุ่นหลานของหลวงปู่มั่น เรื่องการก่อสร้างก็มีส่วนไปติดพันตรงนี้ไง ตรงที่ว่าพอมันเข้าไปประสบการณ์ตรงแล้วมันประสบการณ์เข้าไป แล้วมันเสื่อมไป พอความเสื่อมไป ความอยากได้ ความอยากได้เป็นตัณหาซ้อนตัณหา ตัณหาซ้อนตัณหาทำให้ความสงบนี้เข้าได้ยาก วิปัสสนาทำได้ยาก
พอทำได้ยาก งานนี้ทำได้ยากแสนยาก งานที่รองลงมาคืออะไร? นี่ไง การก่อสร้างถึงได้เกิดขึ้นไง งานการก่อสร้างใครๆ ก็ทำได้ เพราะเป็นวัตถุ ถ้ามันล่มสลายไปก็ก่ออิฐขึ้นมา แล้วมันไม่เสื่อมสลาย เห็นไหม ความเสื่อมสลายของวัตถุนี่ ความเสื่อมสลายของวิหารนี่เป็นร้อยๆ ปี ถึงเสื่อมสลายไป ก่อขึ้นเป็นวัตถุขึ้นมาจนแบบว่าโบสถ์วิหารนั้นยังไม่ทันพังเลย ไอ้ใจนี่มันอยากเปลี่ยนก่อน อยากทำก่อน แสวงหาเงินมาเพื่อทำลายไป เปลี่ยนไปก่อน เห็นไหม
นี่ความสลายของวัตถุที่ว่ามันตั้งขึ้นมาได้ เห็นไหม มันตั้งขึ้นมาได้มันสลายไปได้ยาก แต่ใจนี้ไปเกาะเกี่ยวมัน ใจไปเกาะเกี่ยวขึ้นมาแล้วใจก็ไม่พอใจมันอีก ไปทำลายมันก่อนเพื่อจะแสวงหาใหม่ สร้างใหม่ๆ สร้างจนไม่มีวันหยุดวันพอ
แต่ความสลายของใจที่มันสลายขึ้นไป ความสลายของใจ เห็นไหม ที่มันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความเป็นอนัตตาของธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายในหัวใจนี่มันแยกไม่ออก มันเสื่อมสลายไปโดยธรรมชาติของมัน คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเหมือนวัตถุ แต่วัตถุสลายไปแล้วมันเห็นกับตานี่ แต่ความสลายของใจที่มันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ภายในตัวมันเอง ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นอนัตตาโดยธรรมชาติ
ใจนี้เป็นอนัตตาโดยธรรมชาติ แต่เพราะมันมองไม่เห็น เห็นไหม นี่เพราะใจมันมองไม่เห็น ใจมันยกขึ้นไม่ได้ มันจับต้องไม่ได้ มันจับปมไม่ได้ไง ถ้ามันจับเงื่อนจับปมได้นี่ ความเสื่อมสลายไป ทั้งๆ ที่มันเป็นธรรมชาติขึ้นมา แต่พอใจไปเห็นน่ะ นี่ยกขึ้นวิปัสสนา
ความที่ไม่ยกขึ้นวิปัสสนาอยู่นี่ มันติดอันนั้นไปให้โทษ ติดอันที่ว่ามันเสื่อมสลายไป คือเกาะไม่ติดไง ความเกาะไม่ติดก็เป็นโทษของวิปัสสนา ความเกาะไม่ติดไง เพราะมันเสื่อมสลายธรรมดาของมันอยู่แล้ว แต่เกาะไม่ติดคือการยกขึ้นมองไม่เห็น พอมองไม่เห็น นี่มันเป็นตัณหาซ้อนตัณหา มันอยากได้ความสงบนั้นอีก แต่มันได้ด้วยไม่ได้ มันได้ความสงบนั้น แต่เพราะความตัณหาซ้อนตัณหามันทำให้ยากขึ้น นี่มันยาก ๒ ชั้น
ยาก ๒ ชั้นในการที่ว่า
๑. กิเลสมันมีอยู่ในตัวมันเอง
๒. ความอยากเป็นนั้นโดยที่ไม่มีเหตุมีผลไง ไม่มีปัญญา ไม่มีต้นสายปลายเหตุ อยากให้มันสงบได้อย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่าความอยากอันนี้ก็เป็นกิเลส ฆ่าตัวเอง เห็นไหม
อย่าว่าเราอยู่ในศาสนาแล้วคนอื่นจะหลอกเราเลย พระพุทธเจ้าจะหลอกเรา พระพุทธเจ้าว่ามรรคผลนี้ไม่มีจริง ครูบาอาจารย์พูดแล้วมันไม่ตรงกับความเห็นเรา มันจะหลอกกัน...อันนั้นมันเป็นเปลือกๆ เลย ใจหลอกใจ ๒ ชั้นน่ะ ชั้นหนึ่งคือกิเลสมันต้องการอยู่แล้ว มันแสวงหาอยู่แล้ว ความอยากในธรรมชาติของมัน ชั้นที่สอง ความอยากเป็นอย่างนั้นอีก เห็นไหม นี่อันนี้มันทำให้วิปัสสนาได้ยากไง
นี่จิตมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ตรงที่ว่า มันหลอกก็ไม่รู้ว่ามันหลอก แต่สมุจเฉทปหานเข้าไปมันขาด ถ้ามันขาดไปมันรู้จริง ถ้าพิจารณายกขึ้นวิปัสสนาอย่างที่ว่ามันเสื่อมสภาพแบบวัตถุนั่นแหละ แต่มันไม่เห็นความเสื่อมสภาพ
วัตถุเราเห็นเป็นวัตถุเป็นก้อน เป็นอิฐหินปูนทราย มันแปรสภาพ มันสึกกร่อนไป เราเห็น แต่ความสึกกร่อนของใจนี่มันมองไม่เห็น เพราะมันต้องใช้ความอุตสาหะ ความอุตสาหะคือความค่อยพยายามเฝ้ามองมัน พอเฝ้ามองมัน มันแปรสภาพ ความเห็นมันแปรสภาพ นี้คือปัญญามันเกิดขึ้น คือสภาพที่มันแปรสภาพมันจะสอนเราไง
พิจารณากาย พิจารณาวัตถุ มันแปรสภาพ พอมันแปรสภาพ ความที่สะเทือนใจนั้นคือปัญญา แต่ถ้าวิปัสสนาไป มันวิปัสสนาใช้ปัญญาแยกแยะเลย ใช้ปัญญานำไง ปัญญานำหรือเจโตนำนี่มันต้องพร้อมกัน เจโตหมายถึงสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นได้ ตั้งมั่นได้ถึงจับความเห็นการแปรสภาพนั้นได้ พอเห็นความแปรสภาพนั้นได้ เห็นไหม เพราะมันจับต้องได้ มันจับแล้วเราเป็นคนทำงาน ไม่ใช่งานทำไปโดยที่ว่าอาศัยเดินตามไง
เราเดินตามไป รู้ตาม รู้แจ้งแทงตลอด รู้เท่ารู้ทัน รู้ตาม รู้แจ้ง ความรู้แจ้งอันนั้นมันด้วยเจโตวิมุตติ เห็นไหม เจโตวิมุตติ เจโตที่เห็นความเปลี่ยนแปลง ความเจโต ปัญญามันเกิดขึ้นพร้อมกัน พอพร้อมกันมันก็ขาดออกไป ความขาดออกไปอันนี้ไม่หลอก
จากที่ว่าใจหลอกใจ ความนี้ไม่หลอก เพราะว่าสิ่งที่ขาดไปมันเห็นว่าขาดไป แล้ว ๒ ชั้นอีกอย่างหนึ่ง ขาดออกไปคือว่าขันธ์กับจิตแยกออกจากกันๆ แต่มันไม่ขาด มันไม่ขาดเพราะว่ามันธรรมชาติที่มันติดอยู่มันไม่ขาด ความตั้งใจอยากให้ขาดหรืออยากให้เป็นไปนี่มีอยู่ในทุกดวงใจ แต่เวลาวิปัสสนาไปๆ มันหลุดออกไปๆ เราก็หวังอย่าให้ขาด ไอ้ความนั้นก็เป็นตัณหาซ้อนตัณหา ลึกๆ เข้าไปอีกไง จิตใต้สำนึกซ้อนจิตใต้สำนึก มันก็ยังเกาะเกี่ยวอยู่
ถึงว่า ต้องปล่อยให้ตามความเป็นจริงไง ถ้ามันไปเห็นจริงๆ แล้วปล่อย วิปัสสนาเข้าไปมันจะปล่อยขาดไปๆ ให้มันขาดไปเจอความจริงของมัน
ทำไป หน้าที่ของเรานะ จะล่วงพ้นความทุกข์นะ คนจะพ้นทุกข์ได้ด้วยความเพียรเท่านั้น อย่างอื่นมันพ้นทุกข์ไม่ได้เพราะทุกข์เป็นตัวมันเองอยู่ ทุกข์มันฝังอยู่ที่จิตอยู่แล้ว แล้วจะให้มันพ้นไปโดยที่มันหลุดไปเองไม่ได้ เห็นไหม ความเพียรคือความต่อเนื่อง ความพยายามวิริยอุตสาหะ ความเพียรเข้าไปขยำ ไปทำลายตรงที่มันติดอยู่ ตรงตัวทุกข์ๆ นั่นล่ะ ต้องทำลายตรงจุดนั้นเลย
พอจุดนั้นมันหลุดออกไป มันเป็นธรรมชาติที่มันจะหลุดไปเอง พอหลุดไปเองก็เป็นสมุจเฉทปหาน เห็นไหม พอสมุจเฉทปหานนี่มันไม่หลง ไม่หลงตรงนี้ไง ไม่หลงที่เห็นตามความเป็นจริงว่ามันหลุดออกไป แล้วสะอาดขึ้นมาขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน แล้วไม่มีสิ่งใดจะฟูขึ้นมา ไม่ได้อีก ไม่มีสิ่งใด ฟูขึ้นมาไม่ได้อีกเลย เห็นไหม มันถึงไม่หลง
ไม่หลงเด็ดขาดถ้าเข้าตามหลัก ตามอริยสัจ ตามมุ่งเข้าไป เข้าตามหลักเข้าไป แต่เพราะตัณหาซ้อนตัณหา คือสมุทัยซ้อนสมุทัยอยู่นี่ มันพลิกแพลงอยู่ตลอดเวลา พอพลิกแพลงตลอดเวลามันถึงย้อนกลับไง ถ้ามันทำไปไม่ได้ มันก็ย้อนกลับว่าอาศัยรูปแบบข้างนอกมันอาศัย คือใจมันเข้าไปแล้วมันทะลุเข้าไปไม่ไหวไง งานนี้เป็นงานมหาศาล มันถอยออกมาเป็นงานรองมา งานในศาสนวัตถุ ศาสนธรรม...ศาสนธรรมนี่มันลึกกว่าศาสนวัตถุนี่มากมายมหาศาลเลย เพราะมันกว้าง มันลึก มันธรรมในหัวใจนั้น นี่ศาสนธรรม
เห็นไหม ศาสนามีศาสนบุคคล ศาสนวัตถุ และศาสนธรรม บุคคลนี้จะติดข้องในศาสนวัตถุหรือจะทะลุศาสนวัตถุเข้าไปถึงศาสนธรรม ถึงศาสนธรรมคือศาสนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมจะเกิดขึ้นจากหัวใจ มันเป็นธรรมขึ้นมาจริงๆ ในหัวใจนั้นเลย นี่ถึงจะเข้าถึงเจตนามุ่งหมายของพระป่าไง
คุยกัน นี่ทำกัน ว่าตัวเองเป็นพระป่า พระป่าคือพระที่ว่าเป็นหลักชัยของผู้ที่สืบค้น จะเข้าไปถึงหลักชัยของศาสนา เห็นไหม พระป่าต้องเข้าถึงตรงนั้น นี่วัตถุนี้เป็นอันดับ ๒ รองลงมา ถึงว่าเครื่องอยู่อาศัยนี้ให้เป็นเครื่องอยู่อาศัย แต่ถ้าเข้าไม่ถึง มันถอยออกมาแล้วนี่ เอานี้เป็นหลักๆ แล้วคนก็ติดตรงนี้กัน ติดตรงนี้เพราะมันจับต้องได้ แต่ตัวศาสนธรรมมันจับต้องไม่ได้
พอมันจับต้องไม่ได้ ดูกิริยาภายนอก เรื่องสันดานของพระ เรื่องสันดานของจิตแต่ละดวงมันต่างกัน จะให้เรียบร้อยให้เรียบง่ายอย่างนั้น ให้อยู่ในเรียบง่ายอย่างนั้น อันนั้นมันมีส่วนบังคับอยู่ ธรรมวินัยบังคับอยู่แล้ว เห็นไหม มันก็เป็นศาสนวัตถุอันหนึ่ง เพราะมันเป็นสมมุติ แต่ศาสนธรรมเข้าไปมันลึกเข้าไปอีก พอลึกเข้าไปกว่านั้นไปแล้วมันพ้นจากสมมุติเข้าไป พ้นจากสมมุติเข้าไป มันรู้จริง พอรู้จริงมันก็ยึดอันนั้น พอยึดอันที่ว่ารู้จริงนั้นมันก็เป็นหลัก
นี้สิ่งที่อยู่ข้างนอกนี้มันก็ไม่มีความสำคัญ พอไม่มีความสำคัญ หมายถึงว่า มันให้โทษกับใจดวงนั้นไม่ได้ มันเลยทำตัวตามสบายไง คือว่า ทำตัวตามสบายเพราะใจดวงนั้นเยี่ยม ใจดวงนั้นยอดอยู่แล้ว ทำอะไรก็ได้ พอทำอะไรก็ได้นี่ ความเคยใจ เว้นไว้แต่วาสนาบารมีจะเป็นผู้ที่สั่งสอนคน ต้องทำเป็นแบบอย่างไง
ชีวิตแบบอย่างมันก็ทุกข์ไปอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตแบบอย่าง แต่แบบอย่างในการทำกรรมฐาน แบบอย่างในวิปัสสนา มันเป็นแบบอย่างภายใน แบบอย่างภายในมันก็ต้องเป็นที่ยึดที่เหนี่ยว เห็นไหม แต่แบบอย่างภายนอกก็แบบอย่างศีล อย่างการทำความสงบ จิตใจสงบ ความเรียบร้อย ความสุภาพ
ถ้าคนเรานะ ถ้าพูดถึงกันตรงๆ คนที่พูดตรงๆ มันสื่อกันง่าย แต่คนที่พูดอ้อมๆ ความพูดที่นิ่มนวลมันปกปิดบางอย่างไว้ในหัวใจ คือว่าต้องเป็น ๒ ชั้น ความพูดที่นิ่มนวลมันพูดคำหวาน แต่คำที่ว่าก้นเปรี้ยวมันก็มี แต่ถ้าคนพูดคำตรง คำตรงนี้มันสื่อกันง่าย มันอยู่ที่จริตอยู่ที่นิสัย ถึงจะเอาตรงนี้มาวัดกันไม่ได้ สิ่งที่เป็นเปลือกๆ ก็ต้องวัดเป็นเปลือกๆ สิ่งที่เป็นความเป็นจริงอยู่ภายใน เราเข้าไม่ถึง ต้องยกไว้ก่อน
เพราะว่า ศาสนาพุทธเรานี่สำคัญมาก สำคัญที่ว่าจิตที่มหัศจรรย์จนว่าเกิดๆ ดับๆ นี้จิตพาเกิดพาตายนะ พาเกิดพาตาย เพราะไม่มีปฏิสนธินะ พ่อกับแม่จะสืบพันธุ์ขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีจิตปฏิสนธิ ตัวนั้นจะไม่มีตัวเกิด เกิดไม่ได้ ตัวจิตนี้เป็นเอง เป็นจิตปฏิสนธิ จะมาเกิดในครรภ์ของมารดา ตัวนั้นต่างหาก
แล้วตัวจิตนี้แหละถ้ามันพ้น วิปัสสนาไปจนมันพ้น เห็นไหม จิตที่พาเกิดพาตายมันเป็นจิตที่มีอยู่แล้วไม่เกิดไม่ตายนี่ มหัศจรรย์อย่างนั้นน่ะ ความมหัศจรรย์ของจิตมันเป็นแบบนี้ ความมหัศจรรย์ของจิตที่ว่า เวลามันเกิดมันตายมันก็พาเกิดพาตาย พาเกิดในร่างมนุษย์ พาเกิดในร่างสัตว์ พาเกิดในต่างๆ แล้วเวลามันหมดไปมันก็หมดไปโดยที่มันเกิดอีกไม่ได้ เห็นไหม มหัศจรรย์ขนาดนั้น แต่เราไม่เคยเห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างนี้ไง เราถึงว่า เข้าไม่ถึงสิ่งมหัศจรรย์ พอเข้าไม่ถึงสิ่งมหัศจรรย์ก็มาติดกันอยู่ภายนอก แล้วก็มาวัดกันด้วยรูปแบบภายนอก ไม่เห็นความมหัศจรรย์ภายใน ถ้าเราเห็นความมหัศจรรย์ภายใน สิ่งที่เขาว่าเลิศว่าประเสริฐนั้น...
คนหัวดำ ผู้ที่ส่งเสบียง บริษัท ๔ สามารถทำได้หมด เรื่องการก่อสร้าง เรื่องการต่างๆ เรื่องการบริหารจัดการ คนที่บริหารจัดการเก่งยังมีอีกมากมายที่จะมาบริหารจัดการได้ แต่คนเข้าถึงธรรมมีกี่คน เข้าถึงหลักความจริงมีกี่คน แล้วเข้าถึงหลักความจริงมันถึงจะรู้จริง ถ้ารู้จริงถึงเห็นผลเห็นประโยชน์